อินเตอร์เน็ตคาเฟ่กลางเมืองหลวง สถานพักพิงราคาเยาหนุ่มสาวญี่ปุ่น
เอเจนซี – ทาเคชิ ยามาชิตะ ไม่ใช่คนเร่ร่อน ดูจากเสื้อผ้าที่ใส่ เขาเป็นหนุ่มโตเกียวทุกกระเบียด แต่เดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มวัย 26 ปีผู้นี้มาอาศัยหลับในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แห่งหนึ่งทุกคืน เพราะตกงานทำให้ไม่มีปัญญาเช่าอพาร์ตเมนท์อยู่
นอกจากจะถูกกว่าโรงแรมแล้ว ไซเบอร์คาเฟ่ยังมีหนังสือการ์ตูนให้อ่านเป็นร้อยเล่ม มีเน็ตให้เล่น แถมด้วยไมโครเวฟ และห้องอาบน้ำ ที่ยามาชิตะสามารถใช้ชำระล้างร่างกายตอนเช้าก่อนออกไปหางานชั่วคราวทำ
เมื่อถามว่า เขาคิดจะอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ยามาชิตะยิ้มและยักไหล่
“ผมหวังว่าสถานการณ์ของญี่ปุ่นจะดีขึ้น คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ไม่มีเงิน หนุ่มสาวหลายคนไม่มีแรงบันดาลใจ สำหรับผม ถึงไม่มีเงินแต่ผมมีความฝัน”
พอถามต่อไปว่า เขาฝันอะไร หนุ่มน้อยบอกว่า ความฝันของเขาตอนนี้อาจหมายถึงแค่การมีงานประจำทำในออฟฟิศเท่านั้น
ยามาชิตะเป็นหนึ่งในคนตกงานจำนวนมากในแดนปลาดิบ ผลพลอยได้จากวิกฤตเศรษฐกิจที่กระทบต่อการรับประกันการจ้างงานตลอดชีวิตในทศวรรษ 1990 บีบให้คนตกงานต้องยอมทำงานทุกอย่างสุดแต่จะหาได้ไปเรื่อยๆ
ด้วยรายได้ชั่วโมงละ 1,000 เยน (8 ดอลลาร์) โดยประมาณ บ่อยครั้งคนเหล่านี้ไม่สามารถจ่ายค่าเช่าแพงลิบลิ่วในโตเกียว ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ที่ที่แฟลตขนาด 30 ตารางเมตรกลางตัวเมืองตกราคาเดือนละ 150,000 เยน (1,250 ดอลลาร์)
แม้ตอนนี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้น แต่คนตกงานมากมายยังโหนกระแสไม่ทันเนื่องจากทำแต่งานไร้ทักษะมาหลายปี แถมบริษัทส่วนใหญ่ก็นิยมว่าจ้างบัณฑิตจบใหม่ หรือไม่ก็โอนงานพื้นฐานไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าอย่างจีนมากกว่า
ในฐานะเจ้าของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ในย่านอูโนะของโตเกียว มาซามิ ทาเคฮาชิ จึงมีโอกาสสัมผัสความเปลี่ยนแปลงในสังคมญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด
ที่มุมถนน คนไร้บ้านที่ไม่มีเงินจ่ายเพื่อให้ได้เข้ามานอนในร้านเน็ต นอนหลับอยู่ในกล่องกระดาษ
โสเภณีจีนในชุดกิโมโนยืนเรียกลูกค้า ซึ่งก็คือบรรดามนุษย์เงินเดือนขี้เมา ที่มักย่องเข้ามาหลับในร้านของมาซามิตอนดึก
มนุษย์เงินเดือนคือคนกลุ่มแรกที่ค้นพบว่า เน็ตคาเฟ่เป็นทางเลือกราคาถูกแทนที่โรงแรม หลังจากบริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจจนต้องตัดงบกินดื่มของพนักงาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่น และมักตามมาด้วยการค้างคืนในโรงแรม
ลูกค้ากลุ่มถัดมาคือ พวกที่คิดว่าร้านของทาเคฮาชิเป็นบ้าน หลายครั้งที่เจ้าของร้านผู้ใจดีให้คนตกงานที่มาอาศัยนอนในร้านยืมเงินด้วยความสงสาร
เน็ตคาเฟ่กลางเมืองหลวงราคาถูกกว่า ‘โรงแรมแคปซูล’ ซึ่งเป็นช่องแคบๆ ที่มีแต่เตียงสำหรับนอนเท่านั้น โดยเน็ตคาเฟ่คิดค่าบริการคืนละ 1,400-2,400 เยน (12-20 ดอลลาร์) ครอบคลุมทั้งน้ำอัดลม ทีวี หนังสือการ์ตูน และอินเทอร์เน็ต
หมายความว่าทุกคืนวันศุกร์ในชิบูยา หนึ่งในย่านบันเทิงของโตเกียว เน็ตคาเฟ่แสงสลัวจะมีลูกค้ามาใช้บริการแน่นเอี๊ยด
ที่นั่นเวลาประมาณตีสาม มีเสียงกรนสนั่นหวั่นไหวของบรรดามนุษย์เงินเดือนในชุดสูท ที่วางรองเท้าเรียบร้อยไว้หน้าห้องเล็กๆ ของใครของมัน ภายในแต่ละห้องประกอบด้วยเก้าอี้ปรับเอนได้หรือโซฟา คอมพิวเตอร์ และไม้แขวนเสื้อ
ลูกค้าอีกจำพวกคือ สาวๆ สวมส้นสูงและกระโปรงสั้นที่ตกรถไฟเที่ยวสุดท้าย รวมถึงเด็กวัยรุ่นที่โกหกพ่อแม่ว่าไปค้างบ้านเพื่อน แต่มานอนคุยหรืออ่านหนังสือการ์ตูนกับแฟนในร้านเน็ต
เช่นเดียวกับคนตกงานอย่างยามาชิตะ มนุษย์ไร้บ้านเดินออกจากร้านเน็ตปะปนหายไปกับฝูงคน เพื่อค้นหาความไม่มีตัวตนและที่พักพิง
คาสึมาตะ อาดาชิ ผู้จัดการเน็ตคาเฟ่ที่ดูหรูมีระดับ มีพนักงานสวมสูทคอยต้อนรับลูกค้าอย่างสุภาพไม่ผิดกับพนักงานต้อนรับในโรงแรม บอกว่าหนุ่มสาวทุกวันนี้ไม่ค่อยแตกต่างกันนัก แต่เขาจำผู้พักพิงในคาเฟ่ได้จากกระเป๋าใบโตที่คนเหล่านี้ลากไปไหนมาไหนด้วย
“พวกเขาต่างจากพวกเร่ร่อนเพราะยังทำงานและมีเงินติดตัวบ้าง”
ปัจจุบัน ไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับจำนวนผู้ไร้บ้านที่ไปอาศัยนอนในไซเบอร์คาเฟ่ ทำให้ยากที่จะประเมินผลกระทบต่อสังคม อย่างไรก็ดี สื่อมวลชนรายงานว่า กระทรวงสวัสดิการสังคมกำลังเตรียมศึกษาเรื่องนี้ในวงกว้าง
ข้อมูลคร่าวๆ เท่าที่พบได้ในขณะนี้คือ คนตกงานจำนวนมากในวัย 20 กลางๆ ถึง 20 ปลายๆ มักค้างคืนตามเน็ตคาเฟ่เป็นเดือนก่อนที่จะสามารถลงหลักปักฐานถาวรได้
ส่วนที่แก่กว่านั้น จนกว่าและมีโอกาสน้อยกว่าในการหลบหนีออกจากชีวิตที่เคว้งคว้าง มักใช้ไซเบอร์คาเฟ่เป็นแหล่งพักพิงเวลาที่ลำบากใจเกินกว่าจะกลับไปสู้หน้าคนที่บ้าน แต่ร้านที่คนกลุ่มนี้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นร้านระดับล่างที่มีระบบระบายอากาศแย่ ห้องคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่ และเก้าอี้นอนชั่วโมงละ 100 เยน
“มันไม่สบายเอามากๆ รับรองคุณหลับไม่ลงแน่” ลูกค้าคนหนึ่งบอก
Read Full Post »